Friday, April 26, 2024
Homeความคิดและมุมมองชีวิตที่ห้าวหาญของ Jumping General : James Gavin วีรบุรุษและยอดผู้นำตัวจริง

ชีวิตที่ห้าวหาญของ Jumping General : James Gavin วีรบุรุษและยอดผู้นำตัวจริง

-

ยุคสมัยเปลี่ยนไปมาก เปลี่ยนไปรวดเร็ว หลายอย่างก็เปลี่ยนไปให้ชีวิตผู้คนดีขึ้น แต่บางอย่างก็เปลี่ยนไปและสูญหายอย่างน่าเสียดาย

ผมกำลังพูดถึงความกล้าที่จะใช้ชีวิตห้าวหาญ กล้าที่จะเผชิญกับสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ที่ดูเหมือนจะหายไปจากสังคมนี้เหลืออยู่เพียงในภาพยนต์

ในยุคนี้สมัยนี้เรามักจะมี Hero เป็นนักกีฬา, นักร้อง,​ดารานักแสดง, net idol หรือเจ้าสัวที่ร่ำรวย แต่หากได้มองย้อนไปในประวัติศาสตร์กันบ้างอาจจะได้เห็นวีรบุรุษแท้ๆที่ไม่เคยปรากฎตัวในหน้าโทรทัศน์หรือ Facebook คนเหล่านี้ล้วนมีความน่าสนใจและน่าทึ่งเป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความกล้าหาญ, ความเสียสละ และ ความเป็นผู้นำ

ท่านนายพล James Gavin ผู้มีฉายาว่า Jumping General นับเป็นคนหนึ่งที่โดดเด่นมากในทุกๆด้านเลยครับ เอาเป็นว่าผมจะมาเล่าให้ฟังกันอย่างย่อๆ เพียงเพื่อให้เห็นกันว่าวีรบุรุษตัวจริงนั้นมีลักษณะอย่างไรเพื่อเป็นแรงบันดาลใจกันบ้าง

ผมเร่ิมสนใจนายพล James Gavin เป็นครั้งแรกเมื่อเอาหนังสงครามเก่าๆเรื่อง A Bridge too far (ชื่อไทยว่า “สะพานนรก”) ซึ่งเป็นเรื่องการรบของพลร่มในฮอลแลนด์สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 กลับมาดูอีกครั้ง

A bridge too for ภาพยนต์สงครามคลาสสิคที่แสดงโดยดาราชั้นนำมากมาย สร้างได้ใกล้เคียงกับสถานการณ์จริงมาก

ดูไปแล้วผิดสังเกตที่ว่านายพลผู้บังคับกองพลที่ 82 ของอเมริกา แสดงโดย Ryan O’neal ทำไมถึงหนุ่มนัก ใส่หมวกเหล็กและแบกปืน M1 Garand เหมือนพลทหาร แถมยังโดดร่มลงไปรบกับเยอรมันด้วย ผมคิดในใจว่าโม้ปนมั่วแน่นอน

ฉากนี้คือฉากที่ผมสังเกตเห็นความผิดปรกติ คนกลางคือ Ryan O’Neal ที่แสดงเป็นนายพล Jim Gavin นายพลอะไรจะหนุ่มหล่อปานนี้ และยังแต่งตัวเหมือนพลทหาร แตกต่างจากนายพลคนอื่นที่แต่ตัวกันเต็มยศ

แต่เมื่อไปค้นดูก็พบว่า ผู้บังคับกองพลท่านนั้นคือ  นายพล James Gavin ผู้ซึ่งมีฉายานามว่า “Jumping General” เพราะว่าแบกปืนกระโดดร่มลงไปร่วมรบกับทหารใต้บังคับบัญชาทุกครั้ง และเป็นผู้บังคับกองพลที่มีอายุน้อยที่สุดของอเมริกาในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 อายุเพียง 36 ปีเท่านั้น แสดงว่าหนังไม่มั่วครับ

Ryan O’Neal ที่แสดงเป็น Jumping Jim Gavin
นายพลสองดาว James Gavin ที่หล่อไม่แพ้ Ryan O’Neal

จากนั้นก็ทำให้ผมตามไปอ่านประวัติของนายพลท่านนี้ต่อด้วยความสนใจ

James Gavin เป็นลูกกำพร้าที่ถูกเลี้ยงมาโดยพ่อแม่บุญธรรมอย่างแร้งแค้นในเหมือง จนกระทั้งอายุ 17 ปีจึงได้สมัครเข้าเป็นพลทหาร!!!! และถูกส่งไปประจำที่ปานามา

แต่ด้วยความมุ่งมั่นและขยันก็สามารถสอบคัดเลือกจากที่เป็นนายสิบให้เข้าโรงเรียนนายร้อย West Point ได้ทั้งๆที่เรียนหนังสือจบแค่ เกรด 8 (ประมาณ ม.2 ในการศึกษาบ้านเรา) เมื่อเมื่อจบมาแล้วก็ถูกส่งไปทำงานต่างๆหลายที่ แต่งานที่สำคัญมากชิ้นหนึ่งก็คือการศึกษายุทธวิธีของประเทศต่างๆและเขาเมื่อได้เห็นการใช้พลร่มของเยอรมันนีในการบุกเบลเยี่ยม เขาจึงเริ่มศึกษาเรื่องของพลร่มและเขียนคู่มือทางยุทธวิธีของกองทหารพลร่มในกองทัพอเมริกันขึ้นมาเป็นครั้งแรก

เมื่อสงครามโลกครั้งที่สองเกิดขึ้นในยุโรป Gavin เป็นทหารกลุ่มแรกที่เข้ารับการฝึกโดดร่มและเป็นกำลังหลักในการก่อตั้งกองทหารพลร่มของสหรัฐ ในฐานะผู้บังคับการกรม 505 ซึ่งต่อมาเป็นหน่วยที่โดดร่มเข้าสู่สมรภูมิเป็นหน่วยแรกของกองทัพสหรัฐ

Gavin สร้างหน่วยของเขาขึ้นมาจากศูนย์ ด้วยความที่เป็นหัวหน้าที่เข้มงวดและลงมือด้วยตัวเอง เขาวางแผนและฝึกอย่างหนักจนกรม 505 ได้รับการยอมรับว่าเป็นหน่วยรบที่ดีที่สุดหน่วยหนึ่งของกองทัพ ฝึกจนกระทั่งทุกคนในหน่วยถอดแบบมาจากตัวเขาที่เป็นผู้บังคับบัญชาทั้งในสนามรบและตลอดเวลา 24 ชั่วโมง

James Gavin ในขณะที่เตรียมตัวขึ้นโดดร่มในช่วงการฝึก

Gavin สั่งนายทหารในหน่วยว่านายทหารหน่วยนี้จะต้องเป็นคนแรกที่จะโดดออกจากเครื่องบิน และคนสุดท้ายในแถวรับอาหาร ซึ่งได้กลายมาเป็นประเพณีปฏิบัติของทหารพลร่มสหรัฐมาจนถึงวันนี้

ในการออกรบครั้งแรกของหน่วยพลร่ม 505 คือการโดดร่มลงหลังแนวข้าศึกในเมือง Sicily อิตาลี ด้วยความผิดพลาดมากมายของการบินทำให้หน่วยของ Gavin กระจายไปทั่ว และไม่สามารถรวมกันได้ Gavin รวมทหารที่เขาเจอระหว่างทางได้เพียงไม่กี่คน แม้จะไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหนของแผนที่ เขาพาทหารมุ่งหน้าสู่เสียงปืน เดินข้ามวันข้ามคืนไปยังพื้นที่รบ ในที่สุดเขาและทหารเพียงประมาณ 1 หมวดก็เขายืดพื้นที่ราบสูงชื่อ Biazza Ridge ที่กั้นระหว่างกองทหารเยอรมันกว่า 700 คน พร้อมด้วยปืนใหญ่และรถถังที่กำลังเคลื่อนที่ไปถล่มกองทหารอเมริกันที่กำลังยกพลขึ้นบกที่ชายหาด

แม้จะมีกำลังทหารและอาวุธน้อยกว่ามากและโดนถล่มอย่างหนัก Gavin บอกทหารที่อยู่กับเขาทุกคนว่า เราจะไม่ถอยจากที่นี่ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น พลร่มที่รวมตัวกันได้ทะยอยกันเข้ามาเสริมกำลัง พวกเขาสู้ด้วยอาวุธทุกอย่างที่จะหาได้รวมทั้งปืนใหญ่ที่ยึดมาเพื่อจะยันทหารเยอรมันของเกอริ่งและรถถัง จนกระทั่งรถถังเบา 6 คัน มาเสริมพร้อมด้วยทหารทุกคนที่รวมตัวกันมาได้ไม่ว่าจะเป็น พลร่ม,​ engineer, คนครัว,​เสมียน หรือคนขับถ Gavin ก็สั่งให้ทุกคนเข้าตีแนวของเยอรมันที่กำลังคิดว่าได้เปรียบอย่างที่ข้าศึกคิดไม่ถึงจนแตกพ่าย

คนขวา ผู้พัน Gavin ในซิซิลี

การรบที่ Biazza Ridge นี้ได้รับการยกย่องว่าเป็น การรบที่ยอดเยี่ยมที่สุดของหน่วยรบขนาดเล็ก และเป็นการแสดงความเป็นผู้นำที่ดีที่สุดในสงครามโลกครั้งที่ 2  หลังจากการรบครั้งนี้ทำให้ Gavin ได้รับเหรียญกล้าหาญและได้รับการเลื่อนยศอย่างรวดเร็ว เป็น Brigadier General (ใกล้เคียงกับ พลตรี ในกองทัพไทย) เป็นรองผู้บังคับกองพลร่มที่ 82 ด้วยอายุเพียง 36 ปี เขากลายเป็นนายพลที่อายุน้อยที่สุดในกองทัพสหรัฐหลังจาก Civil War เป็นต้นมา (เป็นรองแค่นายพลคัสเตอร์) และเป็นนายพลที่อายุน้อยที่สุดในสงครามโลกครั้งที่ 2 ทั้งฝ่ายสัมพันธมิตรและฝ่ายอักษะ

James Gavin ได้รับเหรียญกล้าหาญจากนายพล Omar Bradley

เขาได้ชื่อเล่นว่า Jumping Jim เพราะเขาร่วมการโดดร่มเข้าสนามรบกับทหารของเขาทุกครั้ง สู่สมรภูมิโหดทุกอันในยุโรปตั้งแต่ Salerno อิตาลี่, วัน D-Day ที่ Normandy ฝรั่งเศษ, Operation Market Garden ใน ฮอลแลนด์ (ในภาพยนต์ A bridge too far) และการเข้ายันการบุกโต้กลับของเยอรมันใน Battle of Bulge

จิมจะเป็นคนแรกที่กระโดดออกจากเครื่องบินลำหน้าสุด เพื่อนำทหารของเขาลงสู่สมรภูมิ เขาจะแต่งตัวเหมือนทหารพลร่มปรกติ,​สวมหมวกเหล็ก และสะพายปืนเล็กยาว M1 Garand เหมือนกับที่ทหารของเขาใช้แทนที่จะใช้ปืนสำหรับนายทหารที่กระบอกเล็กกว่า

คนกลาง นายพล Jim Gavin ที่แต่งตัวและทำตัวไม่ต่างจากทหารของเขาเลย

ลักษณะที่โดดเด่นของ Gavin คือการเป็นผู้นำโดยทำให้เห็นเป็นตัวอย่าง หลายต่อหลายครั้งหลังจากที่โดดร่มลงถึงพื้น เขาจะออกไปเสี่ยงนำทหารในแนวหน้าทั้งที่เสี่ยงต่อกระสุนของข้าศึก เพื่อเป็นตัวอย่างกระตุ้นทหารหนุ่มๆที่กำลังดีใจจากการที่เพิ่งรอดตายจากการโดดร่มลงมาให้ลุกขึ้นสู้

นับครั้งไม่ถ้วนที่ Gavin จะออกหน้า, ออกไปลาดตระเวณร่วมกับทหาร, วิ่งฝ่ากระสุนจากหลุมเพาะหนึ่งไปสู่อีกหลุ่มหนึ่ง เพื่อตรวจดูทหารใต้บังคับบัญชา บางคนอาจจะคิดว่าการกระทำเสี่ยงๆนั้นเป็นเรื่องโง่ แต่ Gavin ไม่เคยลังเล เพราะเขาเชื่อว่ามันคือเรื่องจำเป็นที่ผู้บังคับบัญชาที่ดีจะต้องทำ

นายพล James Gavin แบกปืนยาว แต่งตัวไม่ต่างจากพลทหารคนหนึ่ง ในสมรภูมินอร์มังดี

มีเรื่องเล่าจากทหารในกองพล 82 ว่าระหว่างการรบครั้งหนึ่ง เขาได้ยินเสียงตะโกนบอกว่า

“ทหาร กดตูดลง ก่อนที่แกจะถูกยิง”

เขาหันไปเห็น ทหารพลร่มคนหนึ่งยืนเด่นล่อเป้าอยู่ไม่ไกล จึงตะโกนสวนไปว่า

“เอ็งก็ควรจะกดตูดลงด้วยนะ”

หลังจากการยิงกันจบเขาถึงเพิ่งรู้ตัวว่าเขาตะโกนด่านายพล Gavin ผู้ที่ยิ้มให้เขาเมื่อพบหน้ากันอีกครั้ง

หลังจากนั้น Gavin ได้เลื่อนเป็นผู้บังคับกองพลที่ 82 และกลายเป็น Major General ที่อายุน้อยที่สุดของกองทัพสหรัฐตราบถึงทุกวันนี้

งานแรกในฐานะผู้บังคับกองพล คือการนำทหารโดดร่มลงในฮอลแลนด์ ตามแผนปฏิบัติการ Market Garden ที่สัมพันธมิตรหวังจะบุกรวดเดียวให้ถึงเยอรมัน (ในภาพยนต์ A bridge too far) โดยมีแผนให้พลร่มหน่วยต่างๆลงไปยึดสะพานตลอดทางแล้วส่งกองทัพรถถังของอังกฤษลุยเข้าไปตามถนน

นายพล James Gavin ขณะเตรียมตัวขึ้นเครื่องไปโดดร่มลงใน Holland ระหว่างปฏิบัติการณ์ Market Garden

Gavin บาดเจ็บจากโดดร่มลงกระแทก แม้จะบาดเจ็บหนักที่มาพบภายหลังว่ากระดูกซี่โครงหัก 2 ซี่ เขาก็รวบรวมพลร่มใต้บังคับบัญชาเข้าปฏิบัติหน้าที่ที่ได้รับมาคือเข้ายึดสะพานข้ามแม่น้ำ Waal และแม่น้ำ Mass และอีกหลายคลองในบริเวณนั้นด้วยการปฏิบัติการที่ดุเดือดหลายครั้งรวมทั้งการที่ต้องส่งทหารพายเรือข้ามไปยึดสะพานให้ได้

พลร่มจากกองพลที่ 82 ใช้เรือพายฝ่ากระสุนข้ามแม่น้ำ Waal เพื่อเข้ายึดสะพาน

หลังจากที่ยึดสะพานได้ทั้งหมด กองพล 82 ก็ถูกล้อมโจมตีอย่างหนัก ถึงแม้จะบาดเจ็บตั้งแต่วันแรก แต่ Gavin ไม่เคยหยุดพัก เขาวิ่งพล่านไปทั่วแนวรบเพื่อตรวจสถานการณ์, ออกคำสั่ง และให้กำลังใจ เขาแทบจะไม่ได้นอน หรือถ้าจะได้นอนบ้างก็นอนอยู่เคียงข้างทหารของเขาในหลุมเพาะ

กองพลที่ 82 ถูกล้อมถล่มอย่างหนักในฮอลแลนด์

ปฏิบัติการ Market Garden ล้มเหลว ส่วนหนึ่งเพราะการวางแผนที่มั่นใจเกินไปประกอบกับกองทัพรถถังอังกฤษเคลื่อนที่เข้ามาช้ากว่าที่นัดมาก ทำให้พลร่มที่เข้าไปยึดสะพานโดนบดขยี้แหลกในหลายจุด แต่การปฏิบัติการของกองพล 82 และ Gavin ได้รับยกย่องว่าทำหน้าที่ได้อย่างยอดเยี่ยมที่สุด

หลังจากนั้นกองพลที่ 82 และ Gavin ต้องเจอสมรภูมิโหดอีกครั้งเมื่อกองทัพเยอรมันรวบรวมกำลังเพื่อตีโต้กลับเป็นครั้งสุดท้าย

ทหารพลร่มเพียง 2 กองพลถูกส่งอย่างรีบด่วนเข้าไปในเบลเยี่ยมเพื่อเป็นหัวหอกยับยั้งการเคลื่อนพลของเยอรมัน

ทางขวานายพล Gavin ใน Battle of the Bulge

ด้วยกำลังที่น้อยกว่าอาวุธที่เป็นรอง กองพลที่ 82 สู้ขาดใจท่ามกลางอากาศที่หนาวทารุณของเดือนธันวาคมในสมรภูมิที่ชื่อว่า Battle of the Bulge ซึ่งกล่าวกันว่าเป็นสมรภูมิที่นองเลือดที่สุดที่กองทัพบกอเมริกันต้องเจอในสงครามโลกครั้งที่สอง

ตลอดเวลากว่า 2 เดือนในสนามรบโหดท่ามกลางฤดูหนาวที่ทารุณของยุโรป ไม่มีสักวันที่ทหารไม่ได้เห็นนายพล Gavin ของเขาออกไปร่วมเสี่ยงตายอยู่ที่แนวหน้า

นายพล Gavin กับทหารที่แนวหน้าของสมรภูมิ

เมื่อมีคนถาม Gavin เพียงพูดง่ายๆว่า “ไม่มีอะไรจะทดแทนการให้ทหารเห็นนายพลของเขาในแนวรบได้”

 

pastedGraphic.png
นายพล Gavin ท่ามกลางความหนาวเย็นของ Battle of the Bulge
นายพล Gavin รับเหรียญกล้าหาญจากจอมพล Montgomery ในเดือนมีนาคม 1945

หลังสงคราม Gavin เป็นผู้ที่จัดการรวมกองพันพลร่มทหารผิวดำที่ 555 เข้ามาสู่กองพลที่ 82 เขาได้ชื่อว่าเป็นนายพลที่ “ตาบอดสี” ที่สุดในกองทัพอเมริกา

Gavin รับหน้าที่ในตำแหน่งสูงในกองทัพอีกหลายที่รวมไปถึงการวางแผนและพัฒนากองทัพเคลื่อนที่เร็วยุคใหม่ที่ใช้เฮลิคอปเตอร์ซึ่งกลายเป็นยุทธวิธีที่กองทัพใช้ในยุคต่อมา

ขณะที่เป็นผู้ที่ไม่เคยเกรงกลัวสนามรบ แต่ Gavin ไม่ชอบการเมือง เขาแสดงความคิดเห็นอย่างทหารและตรงไปตรงมา ซึ่งหลายครั้งขัดแย้งกับผู้มีอำนาจทางการเมือง

เขาแสดงความห้าวหาญและยืนหยัดต่อการเป็นตัวตนของเขาเป็นครั้งสุดท้ายในกองทัพเมื่อถูกแต่งตั้งให้รับตำแหน่งใหญ่เป็นผู้บัญชาการกองทัพที่ 7 เหนือภาคพื้นยุโรปทั้งหมด แต่นั้นเป็นการแต่งตั้งเพื่อให้ Gavin พ้นออกไปจากสิ่งที่เขากำลังขัดขวางนักการเมืองอยู่

เขาไม่รับตำแหน่ง และลาออกด้วยการเกษียณจากกองทัพโดยกล่าวว่า

“ผมจะไม่ยอมผิดหลักการของผม และผมจะไม่ยอมตามระบบที่เพนตากอนพยายามสร้างขึ้น”

นายพล James Gavin ได้รับ 20 เหรียญกล้าหาญ ซึ่งในนั้นมี 2 เหรียญจากรัฐบาลฝรั่งเศษ,​ 1 เหรียญจากรัฐบายเบลเยี่ยม และ 1 เหรียญจากรัฐบาลเนเธอแลนด์

การเป็นผู้นำของ Gavin นั้นถูกบรรยายโดยผู้ใต้บังคับบัญชาที่ได้ร่วมรบกับเขาว่า คือการทำให้ดูเป็นตัวอย่าง, ออกแนวรบด้านหน้าเพื่อ ตรวจสอบ, ออกคำสั่ง,  และ​ให้กำลังใจทหารของเขาตลอดเวลาโดยไม่รู้จักเหนื่อยและไม่มีคำว่ากลัวตาย เขากินนอนร่วมอยู่กับทหารพลร่มของเขาตลอดเวลาไม่เคยใช้ยศเรียกร้องความสะดวกสบายอะไรทั้งสิ้น

เขาเสียชีวิตด้วยวัย 82 ปี เมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 1990 หลังจากได้ใช้ชีวิตอย่างห้าวหาญและน่านับถือ

คุณล่ะได้ใช้ชีวิตที่ห้าวหาญสมกับที่ได้เกิดมาบ้างหรือยัง

ตาเกิ้น
ตาเกิ้นhttp://takern.wordpress.com
นักสำรวจ, นักเขียน และนักเล่าเรื่อง

Leave a Reply

LATEST POSTS

กบต้มน้ำร้อน

เราไม่สามารถมีชีวิตอยู่ได้ด้วยการหลบอยู่ในห้องแอร์แล้วเปิดเครื่องกรองอากาศให้รอดไปวันๆครับ ปัญหาเหล่านี้เกิดขึ้นแล้วค่อยๆทวีความรุนแรงมาเรื่อยๆ จนหลายคนเริ่มเชื่อว่ามันต้องเป็นอย่างนี้แหละ แก้ไขไม่ได้ ต้องทนต้องปรับตัวกับมันไป ถ้าเป็นเช่นนั้น เราก็จะเหมือนกับกบที่อยู่ในหม้อที่น้ำค่อยๆร้อนขึ้นทีละน้อยจนสุกทั้งตัวกินได้

ข้าวแช่, ร้านค้าเล็กๆ และ เศรษฐศาสตร์ “ชั่วข้ามคืน”

ที่หน้าร้านก๋วยเตี๋ยวเป็ดแสนอร่อยเจ้าประจำของผมที่เมืองประจวบ มีแผงขายข้าวแช่อยู่ คนขายเป็นคุณยายใจดี เราคุยกันทุกครั้งที่ผมแวะไป และก็สั่งข้าวแช่ของแกมากิน ครั้งนี้ก็เช่นกัน “เหลืออยู่แค่ 5 ชุด เหมาเลยมั๊ย” คุณยายถาม ครั้งนี้เรามากันหลายคนข้าวแช่ 5 ชุดจึงแทบจะแย่งกันกิน ข้าวแช่ของยาย ก็คล้ายๆกับข้าวแช่ที่หลายๆคนคุ้นเคยแถวเพชรบุรี ไม่ได้มีกับหลายอย่างประดิษประดอยแบบข้าวแช่ที่ขายกันแพงๆในเมืองกรุง เครื่องมีเพียง 2 อย่างคือลูกกระปิทอด กับปลาหวาน แต่อร่อยมากครับ ข้าวและน้ำข้าวแช่นั้นหอมมาก แกเคยเล่าให้ฟังว่าที่หอมอย่างนี้เพราะอบด้วยดอกชมนาดที่ออกดอกในช่วงหน้าแล้งอย่างนี้และต้องเก็บตอนเย็นจึงจะหอมที่สุด และยังคุยว่าข้าวแช่ของแกนั้นเคยได้รับรางวัลจากการประกวดด้วย อร่อยมาก ชุดหนึ่งไม่น้อยเลย แทบจะอิ่มได้หนึ่งมื้อ...

ของแท้ดั้งเดิม (Authenticity)

เริ่มมันเริ่มจากขณะที่เรากำลังเดินทางกลับจากแค้มป์ในทริปหนึ่ง ผู้การตู้น้องรักก็ชวนเราแวะกินข้าว “พี่ครับ แถวบ้านผมมีศูนย์อาหารเปิดใหม่ มีร้านดังๆมากมาย ขาหมูตรอกจุง, ข้าวหน้าไก่หกแยก ฯลฯ เราแวะกินกันมั๊ยครับ” เท่านั้นก็เพียงพอแล้วที่จะจุดประกายให้ผมเริ่มบทสนทนาที่คล้ายคนแก่เล่าเรื่องเก่า เรื่องมันมีอยู่ว่า ผมมีร้านโจ๊กเจ้าประจำอยู่ร้านหนึ่ง อยู่หน้าโรงพยาบาลหัวเฉียว ใกล้โบ้เบ้ ผมได้กินโจ๊กร้านนี้มาตั้งแต่พ่อไปหาหมอที่นั่น นับย้อนหลังไปได้กว่า 20 ปี ร้านเป็นห้องแถวห้องเดียว อาเจ็กแกต้มโจ๊กขายหม้อเดียวในแต่ละวัน สายๆขายหมดก็เลิก บ้างวันผมมาสายก็ไม่ได้กิน ผู้คนที่แวะเวียนมาก็ล้วนแล้วแต่เป็นคนในละแวกนั้น อาซ้อก็มาช่วยทำช่วยขาย ผมแวะไปกินโจ๊กทุกครั้งที่ไปแถวๆนั้น นอกจากโจ๊กของแกอร่อยมากแล้ว อาเจ็กก็เป็นกันเองมาก ต้มน้ำชาร้อนมาให้ผมจิบแก้เลี่ยนจากปาท่องโก๋ที่ผมข้ามถนนไปซื้อมา  เรานั่งคุยกันเสมอ ถามสารทุกข์สุกดิบกัน แกเคยเล่าให้ผมฟังว่าอยู่ย่านนี้มาตั้งแต่เกิด...

คุณค่าที่คลาดเคลื่อน

https://www.youtube.com/watch?v=NF2EMmR3foQ ถ้าคุณใจไม่หนักแน่นพอ ผมไม่แนะนำให้ไปเดินป่าระยะไกล 101 กิโลเมตรที่แม่เงานะครับ ในชีวิตผมเดินป่ามาก็ไม่น้อย แต่การเดินป่าติดกันยาวนาน 9 วัน มันทำให้ผมเปลี่ยนไปมากว่าที่จะคาดคิด มันอาจจะเป็นความยาวนาน อาจจะเป็นสภาพที่ดิบของป่าเขา หรืออาจจะเป็นตัวผมเองอยู่ที่สุดขอบความคิดที่สุกงอมเต็มที่ หรืออาจจะเป็นสิ่งเหล่านี้ประกอบกัน ระหว่างอยู่ในป่าก็ไม่ได้มีอะไรพิเศษ เราก็แค่เดินไปทีละวัน มันก็แค่ไกลและหลายวันหน่อยเท่านั้น แต่มาเห็นผลตอนที่ออกจากป่ากลับมาสู่สังคมเมือง ผมพบว่าผมคุยกับใครแทบไม่รู้เรื่อง ไม่ใช่เรื่องภาษาหรือคำพูด แต่หากเป็นสิ่งที่อยู่ลึกอยู่ใต้การสนทนานั้น เมื่อมีคนคุยเรื่องอะไรขึ้นมาผมก็พบว่าผมไม่สนใจจะฟังเรื่องเหล่านั้น และรู้สึกได้ว่าเรื่องที่ผมอยากจะคุยอยากจะเล่าก็ไม่มีใครอยากฟัง เปิดโซเชี่ยลมีเดียขึ้นมายิ่งหนักขึ้นไปอีก เต็มไปด้วยเรื่องที่ดูแล้วกวนใจ ทนไม่ได้กับการเห็นอะไรมากมายที่ก้าวข้ามเส้นจริยธรรมเพียงเพื่อเรียกร้องความนิยม นอกจากนั้น มองไปรอบตัวเมื่อเห็นสิ่งของมนุษย์สร้างขึ้นและเรื่องราวที่สังคมปรุงแต่งขึ้นมา ล้วนแล้วแต่มองเห็นมันเป็นของปลอมๆกับเรื่องสมมุติ  อะไรที่เราเคยอยากได้อยากมี...

Most Popular

Discover more from ThailandOutdoor Netzine

Subscribe now to keep reading and get access to the full archive.

Continue reading